odf_logo-1-2

กองทุนผู้สูงอายุ

เพื่อการคุ้มครอง ส่งเสริมและสนับสนุนผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี

หมวดหมู่: ข่าวประชาสัมพันธ์

มหกรรมแก้หนี้ สร้างวิถีแห่งความเป็นธรรม ปีที่ 2 กรุงเทพมหานคร

เชิญชวนเข้าร่วมกิจกรรม “มหกรรมแก้หนี้ สร้างวิถีแห่งความเป็นธรรม ปีที่ 2 กรุงเทพมหานคร”

กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ร่วมกับ กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม กำหนดจัดกิจกรรม “มหกรรมแก้หนี้ สร้างวิถีแห่งความเป็นธรรม ปีที่ 2 กรุงเทพมหานคร” ในวันศุกร์ที่ 29 และวันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม 2568 เวลา 09.00 – 14.00 น. ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ชั้น 5 ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร การจัดงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ เปิดโอกาสให้หน่วยงานด้านการเงิน สถาบันการเงิน กองทุนการเงินประเภทต่าง ๆ และลูกหนี้ ได้เจรจาไกล่เกลี่ยหนี้ ร่วมหาทางออกด้วยสันติวิธี ลดการฟ้องคดี และสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างคู่สัญญา

ในโอกาสนี้ กองทุนผู้สูงอายุ (กรุงเทพฯ ส่วนกลาง) กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จะเข้าร่วมงานเพื่อ รับฟังปัญหา ให้คำปรึกษา และแนะนำแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้แก่ผู้กู้ยืมเงินทุนประกอบอาชีพและผู้ค้ำประกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุให้สามารถฟื้นฟูศักยภาพในการประกอบอาชีพ และรักษาสิทธิประโยชน์ที่พึงมี

เหตุผลที่ผู้กู้ยืมจากกองทุนผู้สูงอายุควรเข้าร่วมงานนี้ ดังนี้

1. โอกาสเจรจาโดยตรงกับเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลสัญญา เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของท่าน

2. ลดความเสี่ยงจากการฟ้องคดี ด้วยการไกล่เกลี่ยและปรับโครงสร้างหนี้ในบรรยากาศที่เป็นมิตร

3. รับข้อมูลและคำแนะนำอย่างรอบด้าน ทั้งด้านกฎหมาย การจัดการหนี้ และการวางแผนฟื้นฟูอาชีพ

4. เสริมโอกาสในการกลับมาชำระหนี้ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยรักษาสิทธิ์การเข้าถึงบริการกองทุนในอนาคต

กองทุนผู้สูงอายุมุ่งมั่นทำงานเชิงรุกเพื่อให้ผู้สูงวัยที่กู้ยืมเงินประกอบอาชีพได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง และเชื่อมั่นว่าการมีส่วนร่วมในกิจกรรมครั้งนี้ จะเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงินและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับผู้สูงอายุทุกคน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0 2354 6100 ต่อ 303 นายจักรี คำสี นักพัฒนาสังคม

จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ 208 คน

คณะกรรมการบริหารกองทุนผู้สูงอายุ โดย กรมกิจการผู้สูงอายุ อนุมัติการจ่ายเงินจากเงินบำรุงกองทุนผู้สูงอายุจากภาษีสรรพสามิต (สุราและยาสูบ) ปี 2568

คณะกรรมการบริหารกองทุนผู้สูงอายุ โดย กรมกิจการผู้สูงอายุอนุมัติการจ่ายเงินจากเงินบำรุงกองทุนผู้สูงอายุจากภาษีสรรพสามิต (สุราและยาสูบ) ปี 2568

คณะกรรมการบริหารกองทุนผู้สูงอายุ มีมติอนุมัติแนวทางการจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่ได้รับสิทธิในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ดังนี้

1. ให้จ่ายเงินสงเคราะห์ฯ ในอัตรา 100 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 8 เดือน (เดือนกุมภาพันธ์ – กันยายน 2568) โดยผู้สูงอายุจะได้รับเงินไม่เกิน 800 บาทต่อคน ตามเดือนที่ได้รับสิทธิ กำหนดการโอนเงินในเดือนกันยายน 2568 จำนวน 3 รอบ แบ่งกลุ่มตามวันเดือนปีเกิด โดยจะทำการโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์และบัญชีเงินฝากธนาคาร ที่ผู้มีสิทธิแจ้ง ตามหนังสือให้ความยินยอมโอนเงินสวัสดิการเข้าบัญชีร่วมกับบุคคลอื่นหรือบัญชีบุคคลอื่น แบ่งเป็น

รอบที่ 1 จ่ายวันที่ 16 กันยายน 2568 รอบที่ 2 จ่ายวันที่ 17 กันยายน 2568 และรอบที่ 3 จ่ายวันที่ 18 กันยายน 2568 โดยมีรายละเอียด ดังนี้

2. ให้จ่ายเงินสงเคราะห์ฯ รายการที่โอนเงินไม่สำเร็จ (Reject) จำนวน 3 ครั้ง โดยมีรายละเอียด ดังนี้ กำหนดการโอนเงินสงเคราะห์ฯ สำหรับรายการที่โอนเงินไม่สำเร็จ (Reject)

สำหรับผู้มีสิทธิที่ไม่สามารถผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนได้ (กรณีผู้พิการ/ผู้ป่วยติดเตียง/ และหรือผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ที่ไม่สามารถเปิดบัญชีหรือผูกพร้อมเพย์ได้) สามารถแจ้งความประสงค์ให้โอนเงินเข้าบัญชีร่วมกับบุคคลอื่นหรือเข้าบัญชีบุคคลอื่น โดยดาวน์โหลดแบบฟอร์มหนังสือให้ความยินยอมโอนเงินสวัสดิการเข้าบัญชีร่วมกับบุคคลอื่นหรือเข้าบัญชีบุคคลอื่นได้ทางเว็บไซต์โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 (https://บัตรสวัสดิการแห่รัฐ.mof.go.th หรือ https://welfare.mof.go.th) หรือขอรับและยื่นแบบฟอร์มได้ที่กรมบัญชีกลาง หรือสำนักงานคลังจังหวัด ภายในระยะเวลาที่กำหนด หากมีข้อสงสัยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง หมายเลข 0 2270 6400 ในวัน เวลาราชการ

จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ 1073 คน

พม. โดย กรม ผส. ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนผู้สูงอายุ ครั้งที่ 7/2568

พม. โดย กรม ผส. ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนผู้สูงอายุ ครั้งที่ 7/2568

วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 เวลา 13.00 น. นายธนสุนทร สว่างสาลี อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ มอบหมายให้ นางพรนิภา มาสิลีรังสี รองอธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ ร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนผู้สูงอายุ    ครั้งที่ 7/2568  โดยมี นางจตุพร โรจนพานิช รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาศักยภาพมนุษย์และสังคม เป็นประธานการประชุมฯ พร้อมด้วย นางสาวจารุวรรณ ศรีภักดี ผู้อำนวยการกองบริหารกองทุนผู้สูงอายุ คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมโป๊ยเซียน 705 ทรัพย์เจริญสุข ชั้น 7 กรมกิจการผู้สูงอายุ และผ่านระบบออนไลน์ Zoom Meeting

การประชุมครั้งนี้เป็นการพิจารณาอนุมัติการกู้ยืมเงินทุนประกอบอาชีพ จำนวน 196 ราย การพิจารณาอนุมัติโครงการที่ขอรับการสนับสนุน จำนวน 13 โครงการ การพิจารณาอนุมัติแนวทางการจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่ได้รับสิทธิในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และแนวทางการจ่ายเงินสงเคราะห์ฯ ที่โอนเงินไม่สำเร็จ (Reject) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รวมทั้งการพิจารณาอนุมัติแผนงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของกองทุนผู้สูงอายุ

พม. โดย กรม ผส. ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนผู้สูงอายุ ครั้งที่ 6/2568

พม. โดย กรม ผส. ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนผู้สูงอายุ ครั้งที่ 6/2568

วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2568 เวลา 13.30 น. นายธนสุนทร สว่างสาลี อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ ร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนผู้สูงอายุ ครั้งที่ 6/2568 เพื่อพิจารณาอนุมัติการกู้ยืมเงินทุนประกอบอาชีพเเละอนุมัติโครงการที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนผู้สูงอายุ รวมทั้งอนุมัติปรับแผนปฏิบัติการกองทุนผู้สูงอายุ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (ครั้งที่ 2) โดยมี นางจตุพร โรจนพานิช รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาศักยภาพมนุษย์และสังคม เป็นประธาน การประชุมฯ พร้อมด้วย นางสาวจารุวรรณ ศรีภักดี ผู้อำนวยการกองบริหารกองทุน ผู้สูงอายุ คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมโป๊ยเซียน 705 ทรัพย์เจริญสุข ชั้น 7 กรมกิจการผู้สูงอายุ และผ่านระบบออนไลน์ Zoom Meeting

การประชุมครั้งนี้มีวาระสำคัญที่มุ่งเน้นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงวัยไทยอย่าง รอบด้าน โดยได้พิจารณาอนุมัติให้กู้ยืมเงินทุนเพื่อการประกอบอาชีพแก่ผู้สูงอายุ จำนวน 196 ราย จาก 8 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อเป็นแรงสนับสนุนในการสร้างรายได้ และเสริมศักยภาพในการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี พร้อมกันนี้ยังมีการพิจารณาอนุมัติ โครงการที่ขอรับสนับสนุนจากกองทุนผู้สูงอายุจำนวน 18 โครงการ ซึ่งมุ่งเน้นการดูแล ส่งเสริม และพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุในมิติต่าง ๆ

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญของการประชุม คือ การอนุมัติปรับแผนปฏิบัติการกองทุนผู้สูงอายุ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (ครั้งที่ 2) โดยเฉพาะแผนด้านดิจิทัล ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกองทุนผู้สูงอายุในการพัฒนา เทคโนโลยีและระบบฐานข้อมูล เพื่อรองรับการรวบรวมและบริหารจัดการข้อมูลผู้กู้อย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สามารถจัดเก็บ และเรียกดูข้อมูลได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และแม่นยำ ตลอดจนช่วยให้เจ้าหน้าที่ สามารถติดตามและดูแลคุณภาพชีวิตของผู้กู้ได้อย่างใกล้ชิดและทันท่วงที ในการพิจารณาแต่ละวาระนั้นคณะกรรมการได้ร่วมกันพิจารณารายละเอียดอย่าง รอบคอบมีการซักถามถึงความจำเป็น ความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณ และเปรียบเทียบข้อมูลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา เพื่อให้มั่นใจว่าทุกโครงการจะก่อ ให้เกิดประโยชน์ต่อผู้สูงอายุอย่างแท้จริง โดยยึดหลักความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และ การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุด นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้เสนอแนะแนวทางการบริหารจัดการกองทุนผู้สูงอายุ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมเน้นย้ำบทบาทของกองทุนผู้สูงอายุในฐานะกลไกสำคัญของสังคมไทยที่จะไม่เพียงเป็นที่พึ่งทางเศรษฐกิจแก่ผู้สูงวัย แต่ยังเป็นพลังขับเคลื่อนการ เปลี่ยนผ่านสู่สังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพ

กองทุนผู้สูงอายุเปิดช่องทางชำระหนี้ผ่านแอป BAAC Mobile (ธ.ก.ส.) และธนาคารอื่น ๆ สะดวก ปลอดภัย ไม่ต้องเดินทาง

กองทุนผู้สูงอายุเปิดช่องทางชำระหนี้ผ่านแอป BAAC Mobile (ธ.ก.ส.) และธนาคารอื่น ๆ เพิ่มความสะดวก ปลอดภัย ไม่ต้องเดินทาง

กองบริหารกองทุนผู้สูงอายุ กรมกิจการผู้สูงอายุ ได้ดำเนินการพัฒนาช่องทางการชำระหนี้ผ่านแอปพลิเคชัน BAAC Mobile (ธ.ก.ส.) และแอปธนาคารอื่น ๆ ทุกธนาคาร เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้กู้ยืมของกองทุนผู้สูงอายุ ให้สามารถดำเนินการชำระหนี้ได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และลดภาระในการเดินทาง ทั้งนี้ การให้บริการดังกล่าวมุ่งส่งเสริมให้ผู้กู้สามารถรักษาวินัยทางการเงินได้อย่างต่อเนื่อง อันจะส่งผลดีต่อสิทธิในการเข้าถึงบริการของกองทุนในครั้งถัดไป และเป็นการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้แก่ผู้สูงอายุในระยะยาว

ขั้นตอนการชำระหนี้ผ่านแอป BAAC Mobile (ธ.ก.ส.) และธนาคารอื่น ๆ

ผู้กู้สามารถดำเนินการชำระหนี้ได้ง่าย ๆ ดังนี้

  1. ขอรับ “แบบฟอร์มชำระหนี้กองทุนผู้สูงอายุ (ฉบับใหม่)” ได้ที่
    ▪ กองทุนผู้สูงอายุ กรุงเทพฯ (ส่วนกลาง)
    ▪ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (ส่วนภูมิภาค) ใกล้บ้าน
    ▪ หรือขอรับทางออนไลน์ผ่าน LINE OA: @ODF.DOP

  2. เปิดแอปพลิเคชัน BAAC Mobile หรือแอปพลิเคชันธนาคารอื่น ๆ ที่ผู้กู้ต้องการใช้งานในการชำระหนี้

  3. เลือกเมนูชำระเงินด้วย “วิธีสแกนบาร์โค้ด” ในแอปพลิเคชันของธนาคารนั้น ๆ แล้วใช้กล้องมือถือสแกนบาร์โค้ดจากแบบฟอร์มชำระหนี้กองทุนผู้สูงอายุฉบับใหม่

  4. ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง แล้วกด “ยืนยัน” เพียงเท่านี้ก็สามารถชำระหนี้ได้สำเร็จ

หมายเหตุ: กรุณาตรวจสอบข้อความเหนือบาร์โค้ดว่าระบุว่า “ชำระเงินผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและธนาคารอื่น ๆ” ก่อนชำระหนี้ผ่านแอปพลิเคชัน BAAC Mobile หรือแอปธนาคารอื่น ๆ ทุกครั้ง เพื่อให้การชำระเงินเป็นไปอย่างถูกต้องในการชำระหนี้

การชำระหนี้สามารถดำเนินการได้ ระหว่างวันที่ 1–5 ของทุกเดือน ไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่สำนักงานอีกต่อไป

“ชำระคืนไว ส่งต่อโอกาสใหม่ให้เพื่อนผู้สูงวัย เข้าถึงกองทุนผู้สูงอายุ”

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0 2354 6100 ต่อ 402

จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ 721 คน

หัวใจของนักสังคมสงเคราะห์

เรื่องราวของ “พี่มุ่ย” ธัญธิตา พุ่มอิ่ม ผู้หญิงธรรมดาที่ศรัทธาในอาชีพ…จนกลายเป็นพลังพิเศษของระบบราชการ

“เราอาจช่วยเขาไม่ได้ทั้งหมด แต่แค่เขายิ้มได้ มีแรงจะลุกขึ้นอีกครั้ง เราก็มีความสุขไปด้วยแล้ว” เสียงจากใจของ พี่มุ่ย – ธัญธิตา พุ่มอิ่ม ผู้อำนวยการกลุ่มบริการ กองบริหารกองทุนผู้สูงอายุ อาจเป็นคำพูดที่เรียบง่าย แต่กลับสะท้อนสาระสำคัญของอาชีพ นักสังคมสงเคราะห์ ได้ชัดเจนที่สุด อาชีพที่ต้องทำด้วย หัวใจ ไม่ใช่แค่ หน้าที่

กว่าสองทศวรรษบนเส้นทาง “ศรัทธาในคุณค่าของมนุษย์”

สำหรับพี่มุ่ยการทำงานในฐานะนักสังคมสงเคราะห์ ไม่ใช่แค่อาชีพ แต่คือภารกิจชีวิต ตลอดเวลากว่า 20 ปีในระบบราชการ เธอไม่ได้เพียงยึดมั่นในบทบาท แต่เธอยัง “ศรัทธา” ในพลังของมนุษย์คนหนึ่งที่พร้อมจะลุกขึ้นใหม่ หากได้รับโอกาส พี่มุ่ยเริ่มต้นจากตำแหน่งนักสังคมสงเคราะห์ 3 เดินทางผ่านงานด้านคนพิการ ผู้หญิง เด็ก เยาวชน และในช่วงปลายของชีวิตราชการ เธอได้รับมอบหมายให้ดูแลงานด้านผู้สูงอายุ ซึ่งเปลี่ยนจากโครงการช่วยเหลือแบบครั้งคราวไปสู่การสร้างระบบสนับสนุนอย่างยั่งยืนผ่านกองทุนผู้สูงอายุ เราไม่ได้แค่ให้เงินแต่เราต้องทำให้เขาเชื่อว่าตัวเขายังมีคุณค่าเพราะบางครั้งศักดิ์ศรีของมนุษย์มันอยู่ที่การลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง ไม่ใช่แค่การรอความช่วยเหลือประสบการณ์การช่วยหญิงสาวติดเชื้อ HIV/AIDS รายหนึ่งให้มีอาชีพกลายเป็นทั้งแรงบันดาลใจ      และหัวข้อวิจัยระดับปริญญาโทในหัวข้อ การสร้างพลังอำนาจในตัวเองของสตรีที่ติดเชื้อ HIV/AIDS” ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าการพัฒนาสังคมไม่ใช่เรื่องของโครงการ แต่คือความต่อเนื่องของความสัมพันธ์ระหว่าง “รัฐ” กับ “ประชาชน” อย่างแท้จริง

การฟังอย่างแท้จริงคือเครื่องมือสำคัญที่สุดของนักสังคมสงเคราะห์

แม้พี่มุ่ยจะเคยดำรงตำแหน่งในสำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ มานานนับสิบปีแต่การย้ายมาทำงานด้านผู้สูงอายุที่ดูเหมือนเป็น “กลุ่มเป้าหมายปลายทาง” กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่เธอรู้สึกว่าได้กลับมายืนอยู่ในพื้นที่ของ “หัวใจมนุษย์” อย่างแท้จริงผู้สูงวัยไม่ได้ต้องการอะไรซับซ้อน พวกเขาแค่อยากมีคนฟัง และไม่ถูก   มองข้าม สำหรับพี่ มันเหมือนคุยกับพ่อแม่ที่บ้าน มันคือความอ่อนโยนที่เราพกมาตั้งแต่เด็ก เธอเชื่อว่าผู้สูงอายุยังมีศักยภาพ แม้ร่างกายจะเปลี่ยนไป และนั่นคือเหตุผลที่งานของนักสังคมสงเคราะห์ต้องมองข้ามตัวเลขอายุ ไปยัง “ทุนชีวิต” ที่แต่ละคนแบกมาเพื่อจะสามารถออกแบบการสนับสนุนที่เหมาะสมกับศักยภาพนั้นได้

นอกจากนี้กองทุนผู้สูงอายุยังเชื่อมโยงกับการพัฒนาทักษะอาชีพผ่านการให้เงินสนับสนุนชมรม/องค์กรของผู้สูงอายุ และองค์การเอกชน ที่ได้รับการรับรองเป็นองค์กรสาธารณประโยขน์ ดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับการคุ้มครอง ส่งเสริม สนับสนุนผู้สูงอายุอีกด้วย เพื่อให้ผู้สูงวัยไม่ได้รับแค่ “เงินทุน” แต่ยังได้รับ “เครื่องมือ” ที่จะยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน

นักสังคมสงเคราะห์ = ผู้อยู่กับความเจ็บปวด…โดยไม่หันหน้าหนี

ในการนิยามอาชีพของตัวเอง พี่มุ่ยไม่ได้พูดถึงภารกิจในเชิงโครงการหรือระเบียบราชการแต่กลับ     พูดถึง “หัวใจ” อย่างเรียบง่ายแต่ทรงพลัง มันไม่ใช่แค่อาชีพ แต่มันคือหัวใจของคนที่เลือกจะอยู่กับความเจ็บปวดของคนอื่นเพื่อจะทำให้เขากลับมายืนได้อีกครั้งนักสังคมสงเคราะห์ไม่ใช่ผู้แก้ปัญหาแทน แต่คือคนที่ไม่  ละสายตาไปจากผู้ที่อยู่ในภาวะเปราะบาง คอยอยู่ตรงนั้นแม้ในวันที่ทุกคนเดินผ่านไป และนั่นคือบทบาทที่ไม่มีระบบราชการใดระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษรแต่ฝังอยู่ในวัฒนธรรมวิชาชีพที่ต้องสั่งสมผ่านประสบการณ์ และหัวใจ

ถอดบทเรียนเพื่อส่งต่อไฟในมือคนรุ่นใหม่

หลังจากรับราชการกว่า 20 ปีแต่สิ่งที่เธอฝากไว้ไม่ใช่เพียงแฟ้มงาน หรือผลสัมฤทธิ์ในรายงาน         หากคือแนวคิดที่สำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของงานสังคมสงเคราะห์ในประเทศไทย การทำงานราชการอาจมีข้อจำกัด แต่อย่าลืมว่าความศรัทธาในอาชีพคือพลังที่ทำให้เรายังเปลี่ยนชีวิตใครบางคนได้ แม้จะเป็นแค่หนึ่งคนในร้อยคนในระบบที่อาจเคลื่อนตัวช้า ในพื้นที่ที่นโยบายยังไม่สมบูรณ์บทบาทของคนตัวเล็ก ๆ ที่มีหัวใจใหญ่มาก ๆ นั้น คือหัวใจของระบบสวัสดิการทั้งหมด

หัวใจนั้น จะยังอยู่ต่อไปในมือของคุณ

แม้จะวางมือจากตำแหน่ง แต่พี่มุ่ยไม่ได้วางหัวใจเธอฝากแรงบันดาลใจไว้ในทุกไฟล์งานที่ยังหมุนอยู่ในระบบ ฝากไว้ในทุกบทสนทนาที่เคยรับฟังผู้คนและที่สำคัญฝากไว้ในความกล้าหาญของนักสังคมสงเคราะห์   รุ่นใหม่ทุกคน อย่ากลัวที่จะฟัง อย่ากลัวที่จะรู้สึก และอย่ากลัวที่จะเปลี่ยนบางอย่าง เพราะนั่นคือสิ่งที่คนในวิชาชีพนี้ควรจะกล้าทำแม้จะอยู่ในกรอบของระบบ

หากคุณเป็นนักสังคมสงเคราะห์ หรือผู้ปฏิบัติงานในรัฐ บทสัมภาษณ์นี้ไม่ใช่แค่เรื่องเล่าจากรุ่นพี่ แต่คือ บทเรียนแห่งการศรัทธาในมนุษย์ ที่รอการส่งต่อในมือคุณ

จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ 470 คน

พม. โดย กรม ผส. ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนผู้สูงอายุ ครั้งที่ 5/2568

พม. โดย กรม ผส. ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนผู้สูงอายุ ครั้งที่ 5/2568

วันพุธที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.30 น.  นายธนสุนทร สว่างสาลี อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ มอบหมายให้ นางพรนิภา มาสิลีรังสี รองอธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนผู้สูงอายุ ครั้งที่ 5/2568 เพื่อพิจารณาการอนุมัติการกู้ยืมเงินทุนประกอบอาชีพจากกองทุนผู้สูงอายุ เเละอนุมัติโครงการที่ขอรับสนับสนุนจากกองทุนผู้สูงอายุ โดยมี นางจตุพร โรจนพานิช รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาศักยภาพมนุษย์และสังคม เป็นประธานการประชุมฯ พร้อมด้วย นางสาวจารุวรรณ ศรีภักดี ผู้อำนวยการกองบริหารกองทุนผู้สูงอายุ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนหน่วยงาน ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมโป๊ยเซียน 705 ทรัพย์เจริญสุข ชั้น 7 กรมกิจการผู้สูงอายุ และผ่านระบบประชุมทางไกล  Zoom Meeting

การประชุมในครั้งนี้มีวาระสำคัญเพื่อพิจารณาอนุมัติการกู้ยืมเงินทุนประกอบอาชีพจากกองทุนผู้สูงอายุรายบุคคล จำนวน 193 ราย และสนับสนุนโครงการอีก 5 โครงการ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกองทุนในการสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพอย่างมั่นคง และยั่งยืนให้แก่ผู้สูงอายุทั่วประเทศ

นอกจากนี้ คณะกรรมการยังให้ความสำคัญกับประเด็นเร่งด่วนที่เกี่ยวข้องกับ การลดปัญหาการรอคิวของผู้ที่ยื่นขอรับบริการกู้ยืมเงินทุนเพื่อประกอบอาชีพ โดยได้หารือแนวทางการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้สูงวัยได้อย่างทันท่วงที ควบคู่กับการเน้นย้ำเรื่อง การติดตามหนี้ ที่ต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ และคำนึงถึงสภาพความเป็นอยู่ของผู้กู้เป็นสำคัญ

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญในที่ประชุม คือการพิจารณา ร่างข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้กู้ ผู้ค้ำประกัน และหลักเกณฑ์การพิจารณาการให้กู้ยืมเงิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนากระบวนการให้บริการกองทุนผู้สูงอายุให้มีมาตรฐานมากยิ่งขึ้น โดยคณะกรรมการมีข้อเสนอให้ฝ่ายเลขานุการนำร่างข้อกำหนดดังกล่าวกลับไปทบทวน วิเคราะห์ และปรับปรุงในบางประเด็นเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้สูงอายุ ก่อนนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมอีกครั้ง

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของการขับเคลื่อนกองทุนผู้สูงอายุอย่างมีเป้าหมาย ภายใต้หลักคิดที่ว่า “การให้โอกาสทางอาชีพ คือการลงทุนในศักดิ์ศรีและศักยภาพของผู้สูงวัย” กองทุนผู้สูงอายุยืนยันเจตนารมณ์ที่จะดูแล สนับสนุน และส่งเสริมผู้สูงอายุอย่างรอบด้าน เพื่อสร้างสังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

พม. โดยกรมผส. จัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาศักยภาพในการประกอบอาชีพแก่ผู้กู้ยืมเงินทุน รุ่นที่ 2

พม. โดยกรมผส. จัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาศักยภาพในการประกอบอาชีพ
แก่ผู้กู้ยืมเงินทุน รุ่นที่ 2

วันศุกร์ ที่ 23 พฤษภาคม 2568 เวลา 8.30 . กองบริหากองทุนผู้สูงอายุ กรมกิจการผู้สูงอายุ เดินหน้าขับเคลื่อนภารกิจส่งเสริมศักยภาพผู้สูงวัยอย่างต่อเนื่องผ่านการจัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนศักยภาพในการประกอบอาชีพแก่ผู้กู้ยืมเงินทุน รุ่นที่ 2 ณ ห้องภาณุรังษี เอบี โรงแรมรอยัล ริเวอร์ กรุงเทพมหานคร โดยมี นางวาสนา ทองจันทร์ รอ’อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ เป็นประธานเปิดโครงการ

การอบรมครั้งนี้ออกแบบอย่างเข้มข้น ทั้งในด้านเนื้อหา และการฝึกปฏิบัติจริง เพื่อให้ผู้สูงอายุที่ได้รับเงินทุนสามารถบริหารจัดการอาชีพของตนเองได้อย่างยั่งยืน ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้ทั้งเรื่องกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการกู้ยืมเงินทุน เทคนิคการจัดการเงินทุนหมุนเวียนในชีวิตจริง รวมถึงการสร้างอาชีพด้วยการพิมพ์ลายผ้าจากวัสดุธรรมชาติ ซึ่งช่วยต่อยอดเป็นรายได้เสริมอย่างสร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังมีการอบรมกลุ่มย่อยในหัวข้อที่ทันสมัยอย่างการรู้จักใช้ AI เพื่ออาชีพผู้สูงอายุยุคใหม่ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทีมวิทยากรจากศูนย์วิจัยการจัดการความรู้การสื่อสารและพัฒนา(CCDKM) มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ที่มาเติมเต็มมุมมองด้านเทคโนโลยีให้กับผู้สูงวัยได้อย่างเข้าใจง่ายและนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง

บรรยากาศของงานเต็มไปด้วยพลัง และแรงบันดาลใจ ผู้สูงอายุที่เข้าร่วมต่างสะท้อนความมั่นใจว่าความรู้ที่ได้รับในวันนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มทักษะอาชีพ แต่ยังจุดประกายให้พวกเขาลุกขึ้นอย่างมีศักดิ์ศรี และมองเห็นอนาคตที่มั่นคงในวัยหลังเกษียณได้อีกครั้ง

โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาศักยภาพในการประกอบอาชีพแก่ผู้กู้ยืมเงินทุนรุ่นที่ 2 ครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ของบทบาทเชิงรุกจากกองทุนผู้สูงอายุ ที่ไม่เพียงสนับสนุนด้านเงินทุน แต่ยังขับเคลื่อนการเรียนรู้เชิงลึก เพื่อให้ผู้สูงวัยสามารถยืนหยัดในตลาดแรงงานนอกระบบได้อย่างมั่นใจ ผ่านแนวคิดที่ผสานทั้งการตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อม และการเปิดรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างโอกาสใหม่ ๆ ทางเศรษฐกิจในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง

พม. โดยกรมผส. ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการที่ขอรับการสนับสนุนโครงการที่ขอรับการสนับสนุนและกู้ยืมเงินทุนประกอบอาชีพจากกองทุนผู้สูงอายุ ครั้งที่ 5/2568

พม. โดยกรมผส. ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการที่ขอรับการสนับสนุนและกู้ยืมเงินทุน
ประกอบอาชีพจากกองทุนผู้สูงอายุ ครั้งที่ 5/2568

วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.30 น. นางพรนิภา มาสิลีรังสี รองอธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ         เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการที่ขอรับการสนับสนุนและกู้ยืมเงินทุนประกอบอาชีพจากกองทุนผู้สูงอายุ ครั้งที่ 5/2568 ณ ห้องประชุมโป๊ยเซียน 705 ชั้น 7 กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวง พม. พร้อมการประชุมผ่านระบบ Zoom Meetings

การประชุมในครั้งนี้ มีวาระสำคัญทั้งในส่วนของการรายงานภาพรวมการดำเนินงานของกองทุน และการพิจารณากลั่นกรองโครงการที่ขอรับการสนับสนุนและกู้ยืมเงินทุนประกอบอาชีพจากกองทุนผู้สูงอายุ ซึ่งสะท้อนความมุ่งมั่นของกองทุนผู้สูงอายุในการบริหาร “ทุนหมุนเวียน” อย่างโปร่งใส
มีระบบ และเน้นการสร้างประโยชน์ต่อผู้สูงวัยอย่างเป็นรูปธรรม

ในช่วงต้นที่ประชุมได้รับทราบข้อมูลรายงานทางการเงินประจำเดือนเมษายน 2568 ความคืบหน้าผลการดำเนินงานของกองทุน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 ถึงเมษายน 2568 รวมถึงรายงานสถานการณ์หนี้คงค้างของผู้กู้ ทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม เพื่อนำไปสู่การวางแผน และกำหนดแนวทางการบริหารหนี้
ที่เหมาะสม ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังได้ร่วมพิจารณา (ร่าง) ข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้กู้ ผู้ค้ำประกัน และหลักเกณฑ์การให้กู้ยืม
เงินทุนประกอบอาชีพประเภทรายบุคคล เพื่อยกระดับกระบวนการกลั่นกรองให้มีความชัดเจน และเป็นธรรมยิ่งขึ้น

โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้การกู้ยืมเงินทุนประกอบอาชีพรายบุคคล จำนวน 193 ราย และการสนับสนุนโครงการจากชมรมและองค์กรผู้สูงอายุ
จำนวน 5 โครงการ ผ่านเกณฑ์การพิจารณากลั่นกรอง ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการขยายโอกาสการพึ่งพาตนเองได้ของผู้สูงวัยทั่วประเทศ

กองทุนผู้สูงอายุยังคงมุ่งเดินหน้าในบทบาท “กลไกทางสังคม” ที่ไม่เพียงให้ความช่วยเหลือเชิงเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นแรงเสริมให้ผู้สูงวัยสามารถกลับมามีบทบาท สร้างรายได้ และใช้ชีวิตด้วยความภาคภูมิใจในวัยเกษียณอย่างแท้จริง

ทักษะใหม่ในวัยเดิม คือ โอกาสใหม่ที่เป็นไปได้

"วัยเกษียณ" จุดเริ่มต้นของ “โอกาสใหม่” ที่ต้องออกแบบให้เกิดขึ้นจริง

ในวันที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” เส้นทางชีวิตหลังวัย 60 ปี กลับไม่ใช่บทสุดท้ายของความสงบสุขอย่างที่หลายคน
เคยวาดฝันไว้ ผู้สูงอายุจำนวนมากยังคงต้องทำงานเพื่อเลี้ยงตัวเอง เพื่อช่วยครอบครัว หรือแม้กระทั่งเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของการมีชีวิตอย่างการ
พึ่งพาตัวเองให้ได้นานที่สุด แต่การทำงานในวัยหลังเกษียณกลับไม่ง่าย เมื่อระบบตลาดแรงงานไม่เอื้อ ความรู้เก่ากลายเป็นสิ่งล้าสมัย รายได้ไม่มั่นคง
และโอกาสในการเรียนรู้แทบไม่เปิดรับอีกต่อไป นี่ไม่ใช่ปัญหาของคนวัยเกษียณเท่านั้นหากแต่เป็น “โจทย์ของสังคมไทย” ที่ต้องเร่งตอบให้ทันก่อนที่คนรุ่นเราจะก้าวเข้าสู่วัยเดียวกันนั้น

จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2563 ประเทศไทยมีผู้สูงอายุที่ยังคงทำงานกว่า 4 ล้านคน แต่ส่วนใหญ่กลับอยู่นอกระบบแรงงาน ซึ่งหมายถึงการไม่มีหลักประกัน ไม่มีสวัสดิการ และไม่มีรายได้ที่มั่นคงอย่างแท้จริง ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ ผู้สูงอายุจำนวนมากต้องเผชิญความยากลำบาก
ในชีวิตประจำวัน ทั้งเรื่องรายจ่ายที่สูงขึ้น รายรับที่ไม่แน่นอน และภาระหนี้สินที่ยังไม่หมดแม้จะเข้าสู่วัยเกษียณแล้วนี่จึงไม่ใช่เรื่องของปัจเจกบุคคลอีกต่อไป แต่สะท้อนถึงความจำเป็นในการ “ออกแบบระบบใหม่” ที่สามารถพยุงผู้สูงอายุให้มีรายได้ มีทักษะใหม่ และมีชีวิตที่มั่นคงโดยไม่ต้องพึ่งพิงเพียงเบี้ยยังชีพหรือความหวังจากลูกหลาน

ทักษะใหม่ในวัยเดิม = โอกาสใหม่ที่เป็นไปได้

หากเรายังคงปล่อยให้ผู้สูงอายุเป็นเพียง ผู้รับสวัสดิการ โดยไม่มีการลงทุนในศักยภาพของพวกเขา เท่ากับเรากำลังละทิ้งทรัพยากรมนุษย์ที่มีประสบการณ์อันล้ำค่าให้สูญเปล่า ในความเป็นจริง ผู้สูงวัยคือกำลังสำคัญที่สามารถ “สร้างเศรษฐกิจสีเงิน” หรือ Silver Economy ได้ หากได้รับโอกาสในการเรียนรู้ และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ข้อเสนอจากนักวิจัยระบุว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องมี “แผนระดับชาติ” สำหรับการพัฒนาทักษะแรงงานผู้สูงอายุ โดยไม่มองว่าเป็นเรื่องเฉพาะกิจหรือการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มอีกต่อไป แต่ต้องบูรณาการหน่วยงานรัฐ เอกชน และสถานศึกษาเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งจัดตั้งฐานข้อมูลแรงงานสูงอายุ ระดับประเทศ และให้ทุนสนับสนุนการเรียนรู้ทั้งในรูปแบบออนไลน์ และออนไซต์


ยิ่งไปกว่านั้นเราควรสร้างวัฒนธรรมใหม่ของสังคมไทยที่มองเห็นคุณค่าของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ไม่ใช่แค่ในช่วงวัยทำงาน แต่ตลอดจนถึงหลังเกษียณ หากคนวัย 60 – 70 ปี ยังสามารถเรียนรู้ เปิดร้านค้าออนไลน์ สอนพิเศษ หรือให้คำปรึกษาทางธุรกิจได้ นั่นย่อมหมายถึงรายได้ที่ยั่งยืน และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่ไม่ลดลงตามอายุ การส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้เรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskill) หรือ ยกระดับทักษะเดิม (Upskill) คือหนึ่งในคำตอบสำคัญต่อวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้น งานวิจัยของมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทยเสนอให้มีการจัดทำแผนระดับชาติในการพัฒนาทักษะแรงงานสูงวัย พร้อมทั้งออกแบบระบบฝึกอบรมที่ตอบโจทย์ความสามารถของผู้สูงอายุอย่างแท้จริง ตัวอย่างของทักษะที่เหมาะสมกับผู้สูงวัย เช่น การขายของออนไลน์ การแปรรูปอาหาร งานหัตถกรรมพื้นบ้าน การดูแลเด็กหรือผู้สูงวัยด้วยกัน ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดเป็นอาชีพใหม่ได้จริง และไม่จำเป็นต้องใช้แรงกายมากเหมือนงานในอดีต


“กองทุนผู้สูงอายุ” ได้พิสูจน์ให้เห็นเป็นรูปธรรมแล้วว่า Reskill / Upskill สำหรับผู้สูงวัย ไม่ใช่แนวคิดในกระดาษ แต่กำลังเกิดขึ้นจริงในทุกภูมิภาคของประเทศไทยผ่านการให้การสนับสนุนงบประมาณแก่ชมรม องค์กรผู้สูงอายุ และภาคีเครือข่ายเพื่อส่งเสริมชมรมฯ มีส่วนร่วมในการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุ โดยมีโครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ (สะสมตั้งแต่ปี 2550 – 2567) จำนวน 2,864 โครงการ สนับสนุนงบประมาณ จำนวน 296,860,829 บาท แต่สำคัญที่สุดคือ การฝึกทักษะเหล่านี้ไม่ได้หยุดอยู่ที่ “ห้องเรียน” แต่เชื่อมต่อโดยตรงกับ “แหล่งทุนจริง” ผ่าน “เงินกู้ปลอดดอกเบี้ย” รายบุคคล และรายกลุ่ม ที่ออกแบบให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ ทำให้พวกเขาเริ่มต้นธุรกิจเล็ก ๆ ได้จริง โดยไม่กลายเป็นหนี้ที่สร้างภาระในระยะยาว

กองทุนผู้สูงอายุเปลี่ยนเงินกู้ให้กลายเป็น “ทุนชีวิต”

ภายใต้ภารกิจสำคัญที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 กองทุนผู้สูงอายุไม่ใช่เพียงแหล่งเงินกู้ แต่คือหนึ่งในกลไกของภาครัฐที่ทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างโอกาสให้ผู้สูงวัยมีอาชีพ มีรายได้ และสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้อย่างยั่งยืน เงินกู้ของกองทุนมีลักษณะเป็น “ทุนหมุนเวียน” ไม่คิดอกเบี้ย และมีกำหนดระยะเวลาที่ต้องชำระคืนภายใน 3 ปี รายได้ที่คืนกลับเข้ากองทุนจะกลายเป็นโอกาสของผู้สูงวัยคนถัดไปที่รอโอกาสนี้อยู่เช่นกัน ทำให้เงินทุกบาทหมุนต่อไปได้ไม่รู้จบ

นอกจากนี้กองทุนผู้สูงอายุยังเชื่อมโยงกับการพัฒนาทักษะอาชีพผ่านการให้เงินสนับสนุนชมรม/องค์กรของผู้สูงอายุ และองค์การเอกชน ที่ได้รับการรับรองเป็นองค์กรสาธารณประโยขน์ ดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับการคุ้มครอง ส่งเสริม สนับสนุนผู้สูงอายุอีกด้วย เพื่อให้ผู้สูงวัยไม่ได้รับแค่ “เงินทุน” แต่ยังได้รับ “เครื่องมือ” ที่จะยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน

ตัวอย่างความสำเร็จในชีวิตจริงมีอยู่ทั่วประเทศ เช่น นายวิชัย สุวรรณโชติ วัย 66 ปี ที่เคยมีรายได้จากการเลี้ยงกระบือเดือนละไม่ถึง 3,000 บาท หลังได้ทุนจากกองทุน รายได้ขยับขึ้นเกือบเท่าตัว และเริ่มมีเงินออมครั้งแรกในชีวิต นายสุวิทย์ ปัญญานันทกุล ผู้ค้าแว่นตา วัย 70 ปี หลังได้ทุนเพิ่มสินค้าและปรับร้านค้า รายได้พุ่งจาก 6,600 เป็น 15,700 บาทต่อเดือ และนายประสิทธิ สว่างศรี วัย 77 ปี ผู้ขายขนมไทยจากสูตรโบราณที่ถ่ายทอดจากแม่ รายได้ทะยานจาก 10,700 เป็น 42,700 บาทต่อเดือนในเวลาเพียงไม่กี่เดือน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่การสร้าง “รายได้” แต่คือการคืน “ศักดิ์ศรี” และ “พลังใจ” ให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าพวกเขายังสำคัญ ยังมีคุณค่า และยังเป็นผู้ให้ได้แม้จะเกษียณแล้ว

ผู้สูงวัยไม่ใช่แค่คนเคยทำงาน แต่คือพลังเงียบของเศรษฐกิจ และรากฐานของสังคมที่ยั่งยืน

การสร้างสังคมสูงวัยที่มีคุณภาพไม่สามารถอาศัยเพียงเบี้ยยังชีพ หรือสวัสดิการ แต่เราต้องมีความเชื่อมั่นในการลงทุนต่อศักยภาพของผู้คน ไม่ว่าจะผ่านการเรียนรู้ใหม่ การเปิดโอกาสให้ทำงาน หรือการส่งเสริมให้พึ่งพาตนเองได้อย่างมีศักดิ์ศรี เราทุกคนกำลังเดินเข้าสู่วัยเดียวกับพวกเขาในไม่ช้า
สิ่งที่เราทำวันนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อ “ผู้สูงวัย” แต่คือการวางระบบที่เราจะได้ใช้ในวันข้างหน้าเช่นกัน

บทความโดย: นายรัฐวิทย์ บุราคม
อ้างอิง:
1. มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย. (2564) ข้อเสนอการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาทักษะการทำงาน (Reskill และ Upskill) เพื่อสร้างหลักประกันรายได้ผู้สูงอายุ
2. กรมกิจการผู้สูงอายุ. (2566). รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.. 2565
3. กองทุนผู้สูงอายุ. (2567). รายงานผลการดำเนินงานประจำปี พ.. 2567
จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ 351 คน